วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประวัติเมืองศรีสะเกษ

ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฎหลักฐานแน่นอน มีการจดบันทึกไว้พอสังเขป ส่วนมากได้จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุเล่าต่อๆ กันมา เอาความแน่นอนไม่ได้นัก นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า พื้นที่ภาคอีสานในปัจจุบันเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้าและลาว มีแว่นแคว้นอาณาเขตปกครองเรียกว่า "อาณาจักรฟูนัน" ประมาณปี พ.ศ.1100 พวกละว้าที่เคยมีอำนาจปกครอง อาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลง ขอมเข้ามามีอำนาจแทนและตั้งอาณาจักรเจนละหรืออิศานปุระขึ้น พวกละว้าถอยร่นไปทางเหนือ ปล่อยให้พื้นที่ภาคอีสานรกร้างว่างเปล่าเป็นจำนวนมากเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงจึงถูกทิ้งให้เป็นที่รกร้างและเป็นป่าดง ขอมได้แบ่งการปกครองเป็น 3 ภาคโดยมีศูนย์การปกครองอยู่ที่ละโว้(ลพบุรี) พิมาย(นครราชสีมา)และสกลนคร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองใหญ่ที่นครวัด ในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ ศรีสะเกษน่าจะเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่ขอมใช้เป็นเส้นทางไปมาระหว่างเมืองประเทศราชดังกล่าวแล้ว เพราะปรากฎโบราณสถานโบราณวัตถุของขอมซึ่งกรมศิลปากรสำรวจในจังหวัดศรีสะเกษเมื่อ พ.ศ.2512 จำนวน15 แห่ง ไม่รวมเขาพระวิหารซึ่งเป็นเทวะสถานของขอมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปราสาทหินสระกำแพงใหญ่สระกำแพงน้อย ปราสาทลุมพุก ปราสาทบ้านทามจาน(บ้านสมอ)ปราสาทเยอ ปราสาทโดนต็วล (ช่องตาเฒ่า อ.กันทรลักษ์)สันนิษฐานว่าโบราณสถานเหล่านี้มีอายุประมาณ 1,000 ปีเศษมีอยู่ตามท้องที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ ขอมคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักและประกอบพิธีทางศาสนาระหว่างเดินทางจากนครวัด นครธมข้ามเทือกเขาพนมดงรักษ์มาสู่ศูนย์กลางการปกครองภาคอีสานทั้ง 3 เมืองดังกล่าวแล้ว เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ไทยเริ่มมีอำนาจครอบครองดินแดนเหล่านี้ ขณะเดียวกันจังหวัดศรีสะเกษมีสภาพเป็นป่าดงอยู่นานเพราะแม้แต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางก็มิได้บันทึกกล่าวถึงจังหวัดศรีสะเกษในเอกสารใด เพิ่งจะได้มีการบันทึกหลักฐานในพงศาวดารกล่าวถึงเมืองสุรินทร์ด้วย
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอาณาจักรไทยกว้างขวางมาก มีชาวบ้านป่าซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ( MINORITY TRIBE )อาศัยอยู่แถบเมืองอัตปือแสนแป แคว้นจำปาสักฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน ชนพวกนี้เรียกตัวเองว่า "ข่า" ส่วย" "กวย" หรือ "กุย" อยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรไทย โดยสมบูรณ์ (เพิ่งเสียให้ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.2436หรือ ร.ศ.112) พากนี้มีความรู้ความสามารถในการจับช้างป่ามาเลี้ยงไว้ใช้งาน ชาวส่วยหรือชาวกวยได้อพยพย้ายที่ทำมาหากินข้ามมาฝั่งขวาแม่น้ำโขง เนื่องจากชาวเมืองศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทน์) ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งที่ทำมาหากิน ในปี พ.ศ.2260 ชาวส่วยได้อพยพแยกออกเป็นหลายพวกด้วยกัน แต่ละพวกมีหัวหน้าควบคุมมา เช่น เซียงปุม เซียงสีเซียงสง ตากะจะและเซียงขัน เซียงฆะ เซียงไชย หัวหน้าแต่ละคนก็ได้หาสมัครพรรคพวกไปตั้งรกรากในที่ต่าง ๆ กัน เวียงปุม อยู่ที่บ้านที เซียงสีหรือตะกะอาม อยู่ที่รัตนบุรี เซียงสงอยู่บ้านเมือลีง (อำเภอจอมพระ) เซียงฆะ อยู่ที่สังขะ เวียงไชยอยู่บ้านจารพัด (อำเภอศรีขรภูมิ) ส่วนตากะจะและเซียงขัน อยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน(บ้านดวนใหญ่ปัจจุบัน) พวกส่วยเหล่านี้อยู่รวมกันเป็นชุมชนใหญ่ หาเลี้ยงชีพด้วยการเกษตรและหาของป่ามาบริโภคใช้สอย มีการไปมาหาสู่ติดต่อกันระหว่างพวกส่วยอยู่เสมอ มีสภาพภูมิประเทสติดต่อเขตกัมพูชา และมีเทือกเขาพนมดงรักเป็นเส้นกันเขตแดน ป่าดงเขตนี้มีฝูงสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ โขลงช้างพัง ชางพลาย ฝูงเก้งกวาง ละมั่งและโคแดงอยู่มากมายตามทุ่งหญ้าและราวป่า เหมาะกับการทำมาหาเลี้ยงชีพของชาวส่วยอย่างยิ่ง ลุ พ.ศ.2302 ปีเถาะ จุลศักราช 1181 ตรงกับสมัยแผ่นดินพระบรมราชาที่ 3 หรือพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา พระยาช้างเผือกของพระองค์ได้แตกออกจากโรงช้างต้นในกรุงศรีอยุธยา เดินทางมาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โปรดให้ทหารเอกคู่พระทัยสองพี่น้อง (เข้าใจว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระนามเดิมทองด้วง และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมบุญมา) คุมไพร่พล 30 นาย ออกติดตามผ่านมาแขวงพิมาย ทราบจากเจ้าเมืองพิมายว่า ในดงริมเขาพนมดงรักมีพวกส่วยชำนาญใชการจับช้าง เลี้ยงช้าง สองพี่น้องกับไพร่พล จึงได้ติดตามสองพี่น้องไปเซียงสีไปที่บ้านกุดหวาย(อำเภอรัตนบุรี) เซียงสีจึงได้พาสองพี่น้องและไพร่พลไปตามหาเซียงสง ที่บ้านเมืองลีง เซียงปุ่มที่บ้านเมืองที เซียงไชยที่บ้านกุดปะไท ตากะจะและเซียงขัน ที่บ้านโคกลำดวน เซียฆะที่บ้านอัจจะปะนึง (เขตอำเภอสังขะ) ทุกคนร่วมเดินทางติดตามพระยาช้างเผือก สองพี่น้องและหัวหน้าป่าดงทั้งหมด ได้ติดตามล้อมจับพระยาช้างเผือกได้ที่บ้านหนองโชก ได้คืนมาและนำส่งถึงกรุงศรีอยุธยา ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสริยามรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หัวหน้าบ้านป่าดงมีบรรดาศักด์ทั้งหมด ตากะจะหัวหน้าหมู่บ้านโคกลำ-ดวน ได้เป็นหลวงแก้วสุวรรณเซียงขันได้เป็นหลวงปราบอยู่กับตากะจะ ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านป่าดงทั้ง 5 ได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา โดยนำสิ่งของไปทูลเกล้าฯ ถวาย คือช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นกระมาด (นอแรด) งาช้าง ขี้ผึ้งน้ำผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามพระราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ทรงพิจารณาเห็นความดีความชอบเมื่อครั้งได้ช่วยเหลือจับพระยาช้างเผือก และเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้นำสิ่งของไปทูลเกล้าฯ ถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้นทุกคน ในปี พ.ศ.2302 นี้เอง หลวงแก้วสุวรรณ(ตากะจะ) บ้านโคกลำดวนได้บรรดาศักดิ์เป็นเป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนมีพระบรมราชโองการยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ซึ่งเดิมเรียกว่า "เมืองศรีนครลำดวน" ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์แปลว่า "เมืองป่าดง" ให้พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมืองปกครอง
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ.2310 แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงกอบกู้อิสรภาพและทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีพ.ศ.2321 ปีจอ จุลศักราช 1140 กรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์)เป็นกบฎต่อไทย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าพระยาสุรสียห์เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปทางเมืองพิมายแม่ทัพสั่งให้เจ้าเมืองพิมายแต่งข้าหลวงออกมาเกณฑ์กำลังเมืองประทายสมันต์ (จังหวัดสุรินทร์) เมืองสังฆะ เมืองขุขันธ์ เมืองรัตนบุรี เป็นทัพบกยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ ได้ชัยชนะยอมขึ้นต่อไทยทั้งสองเมือง กองทัพไทยเข้าเมืองเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางพร้อมคุมตัวนครจำปาศักดิ์ไชยกุมารกลับกรุงธนบุรีในการศึกครั้งนี้เมื่อเดินทางกลับ หลวงปราบ(เซียงขัน) ทหารเอกในกองทัพ ได้หญิงม่ายชาวลาวคนหนึ่งกลับมาเป็นภรรยา มีบุตรชายติดตามมาด้วยชื่อท้าวบุญจันทน์ พ.ศ.2324 เมืองเขมรเกิดจราจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระยาสุรสีห์ ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบจราจลครั้งนี้ โดยเกณฑ์กำลังของเมืองปะทายสมันต์ เมืองขุ-ขันธ์ และเมืองสังฆะ สมทบกับกองทัพหลวงออกไปปราบปราม กองทัพไทยยกไปตีเมืองเสียมราฐ กำพงสวาย บรรทายเพชร บรรทายมาศ และเมืองรูงตำแรย์(ถ้ำช้าง) เมืองเหล่านี้ยอมแพ้ ขอขึ้นเป็นขอบขัณฑ-สีมา เสร็จแล้วยกทัพกลับกรุงธนบุรี เมื่อเสร็จสงครามเวียงจันทน์ และเมืองเขมรแล้ว ได้ปูนบำเหน็จให้แก่เจ้าเมืองปะทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระยาให้พระยาทั้งสามเมือง เจ้าเมืองขุขันธ์ ได้บรรดาศักดิ์ใหม่ จากพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี ในปีเดียวกันนั้นเอง พระยาขุขันธ์ภักดี(ตากะจะ) ถึงแก่อนิจกรรมจึงโปรดให้หลวงปราบ (เซียงขัน) ขึ้นเป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำ-ดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ต่อมาเมืองขุขันธ์ที่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวนกันดารน้ำ พระยาไกรภักดีฯ จึงอพยพเมืองย้ายมาอยู่บ้านแตระ (แตระ)ตำบลห้วยเหนือ ที่ตั้งอำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ลุ พ.ศ.2325 ปีขาล จุลศักราช 1144 พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน(เซียงขัน) ได้บรรดาสักดิ์เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี ได้มีใบบอกกราบบังคมทูลข้อตั้งท้าวบุญจันทร์ เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ผู้ช่วยเจ้าเมือง อยู่มาวันหนึ่ง พระยาขุขันธ์ภักดี เผลอเรียกพระยาไกรภักดีฯ(บุญจันทร์) ว่า"ลูกเชลย" พระยาไกรภักดีจึงโกรธและผูกพระยาบาทภายหลังมีพ่อค้าญวน 30 คน มาซื้อโคกระบือที่เมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ภักดีอำนวยความสะดวกและจัดที่พักให้ญวนตลอดจนให้ไพร่นำทางไปช่องโพย ให้พวกญวนนำโค กระบือไปยังเมืองพนมเปญได้สะดวก พระยาไกรภักดีฯ (บุญจันทร์) ได้กล่าวโทษมายังกรุงเทพฯ และโปรดเกล้า ให้เรียกตัวพระยาขุขันธ์ไปลงโทษและจำคุกไว้ที่กรุงเทพฯ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระยาไกรภักดีฯ-(บุญจันทร์) เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์แทน ในปี พ.ศ.2325 นี้ พระภักดีภูธรสงคราม(อุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ กราบบังคมทูลขอแยกจากขุขันธ์ไปตั้งที่บ้านโนนสามขาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโนนสามขาขึ้นเป็นเมือง "ศรีสระเกศ" ต่อมาปี พ.ศ.2328ได้ย้ายเมืองศรีสระเกศจากบ้านโนนสามขา มาตั้ง ณ บ้านพันทาเจียงอีอยู่ในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษทุกวันนี้ พ.ศ.2342 มีโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองขุขันธ์เมืองสังฆะ เมืองละ 100 รวม 300 ยกทัพไปตีพม่าซึ่งยกมาตั้งในเขตนครเชียงใหม่ กองทัพไทยมิทันไปถึง กองทัพพม่าก็ถอยกลับ จึงโปรดเกล้าฯให้กองทัพไทยยกกลับ พ.ศ.2350 ทรงพระราชดำริว่า เมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้งมีความชอบมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทั้ง 3 เมือง ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นต่อเมืองพิมายเหมือนแต่ก่อน พ.ศ.2369 รัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช(สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทรน์ คุมกองทัพบกเข้าตีเมืองรายทางเข้ามาจนถึงเมืองนครราชสีมา ฝ่ายทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์(เจ้าโย่) เกณฑ์กำลังยกทัพมาตีเมืองขุขันธ์จับพระไกรภักดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ กับพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ) ปลัดเมืองกับพระแก้วมนตรี(ทศ)ยกกระบัตรกับกรมการได้ ฆ่าตายทั้งหมด เจ้าเมืองสังฆะ และเมืองสุรินทร์หนีได้ทัน กองทัพจำปาศักดิ์ ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ค่ายหนึ่ง และค่ายอื่น ๆ สี่ค่าย กวาดต้อนครอบครัวไทยเขมรไปเมืองจำปาศักดิ์ จากนั้นมาเมืองขุขันธ์ ไม่มีข้าราชการปกครอง โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสังฆะ ไปเป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมือง ให้พระไชยเป็นพระภักดีภูธรสงครามปลัดเมือง ให้พระสะเทื้อน (นวน) เป็นพระแก้วมนตรียกกระบัตรเมือง ให้ท้ายหล้า บุตรพระยาขุขันธ์(เซียงขัน) เป็นมหาดไทยช่วยกันรักษาเมืองขุขันธ์ต่อไป จากนั้นมาได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเจ้าเมืองและนามเจ้าเมืองหลายครั้ง พ.ศ.2426 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาขุขันธ์(ปัญญา) เจ้าเมืองกับพระปลัด(จันลี) ได้นำช้างพังสีประหลาดหนึ่งเชือกลงมาน้อมเกล้าฯ ถวายที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2433 มีสารตราโปรดเกล้าฯ ให้เมืองศรีสระเกศ(ชื่อเดิม) ไปอยู่ในบังคับบัญชาของข้าหลวงใหญ่ได้โปรดให้หลวงจำนงยุทธกิจ(อิ่ม)กับขุนไผทไทยพิทักษ์(เกลื่อน) เป็นข้าหลวงเมืองศรีสระเกศ พ.ศ.2435 โปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปการปกครองแบบมณทลเมืองศรีสiะเกศขึ้นอยู่กับเมณฑลอีสานกองบัญชาการมณฑลอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธาณี พ.ศ.2445 เปลี่ยนชื่อมณฑลอีสานเป็น มณฑลอุบลมีเมืองขึ้น 3 เมืองคือ อุบลราชธานี ขุขันธ์ และสุรินทร์ ไม่ปรากฎชื่อเมืองศรีสระเกศสันนิษฐานว่าเมืองศรีสระเกศถูกยุบลงเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองขุขันธ์ซึ่งเป็นเมืองเก่ามาแต่เดิม พ.ศ.2447 ย้ายที่ตั้งเมืองขุขันธ์ (ซึ่งอยู่ที่บ้านแตระ ตำบลห้วยเหนืออำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน) มาอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า(ปัจจุบันคือตำบลเมืองเหนือในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน) และยังคงใช้ชื่อ"เมืองขุขันธ์" ยุบเมืองขุขันธ์เดิมเป็นอำเภอห้วยเหนือ(อำเภอขุขันธ์ในปัจจุบันนี้) พ.ศ.2459 กระทรวงมหาดไทย มีประกาศให้เปลี่ยนชื่อเมืองทุกเมืองเป็นจังหวัด เมืองขุขันธ์จึงเป็นเป็นจังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันที่ 9พฤศจิกายน พ.ศ.2459 เปลี่ยนผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด พ.ศ.2481 มีพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

ประวัติอำเภอบึงบูรพ์

อำเภอบึงบูรพ์เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ
ตำบลบึงบูรพ์ ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของ อำเภอบึงบูรพ์ ประกอบไปด้วย 10 หมู่บ้าน 11 ชุมชนได้แก่
หมู่ที่ 1ชุมชน บ้านเป๊าะและชุมชนรุ่งเรืองสะพังทอง, หมู่ที่ 2 ชุมชนคุ้งกลาวสามัคคีและชุมชนสวนสนุก, หมู่ที่ 3 ชุมชนตลาดเก่า, หมู่ที่ 4 บ้านโนนสาวสวยและชุมชนดอนคำแก้ว, หมู่ชุมชนมิตรภาพ , หมู่ที่ 9 ชุมชนบึงบูรพา
คำขวัญ
บึงบูรพ์ถิ่นบัวบาน คนรักบ้าน ข้าวสารขาว สาวแสนสวย ร่ำรวยน้ำใจ ผ้าไหมเนื้อดี มากมีวิชา พัฒนาทุกทาง
ที่ว่าการอำเภอ
ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอบึงบูรพ์ หมู่ที่ 7 ถนนศูนย์ราชการ ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33220
พิกัด
15°19′48″N, 15°19′48″N
หมายเลขโทรศัพท์0 4568 9055
หมายเลขโทรสาร0 4568 9055
ข้อมูลสถิติ
พื้นที่49.582 ตร.กม.
ประชากร10,520 คน (พ.ศ. 2550)
ความหนาแน่น212 คน/ตร.กม
ที่ตั้งและอาณาเขต
อำเภอบึงบูรพ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอรัตนบุรี (จังหวัดสุรินทร์) และอำเภอราษีไศล
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอราษีไศลและอำเภออุทุมพรพิสัย
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอรัตนบุรี (จังหวัดสุรินทร์)
การปกครองส่วนภูมิภาค
อำเภอบึงบูรพ์แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 2 ตำบล 25 หมู่บ้าน ได้แก่
1.เป๊าะ(Po) 16 หมู่บ้าน
2.บึงบูรพ์(Bueng Bun)9 หมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น
ท้องที่อำเภอบึงบูรพ์ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 แห่ง ได้แก่
เทศบาลตำบลบึงบูรพ์ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบึงบูรพ์ทั้งตำบลและบางส่วนของตำบลเป๊าะ
องค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเป๊าะ (นอกเขตเทศบาลตำบลบึงบูรพ์)

กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร

กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
1. กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทอผ้าบึงบูรพ์ หมู่ที่ 1 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- ผ้าไหม 3 ตะกรอ ราคา 1,500 บาท/ชุด
- ผ้าไหม 4 ตะกรอ ราคา เมตรละ 400 บาท
แหล่งจำหน่าย บ้านเลขที่ 56 หมู่ที่ 1 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ โทร. 045-689325หรือ
09-2509103
2. กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทอผ้าไหมบ้านเป๊าะ หมู่ที่ 2 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์
- ผ้าไหม 2 ตะกรอ ราคา 1,400 บาท/ชุด
- ผ้าไหม 3 ตะกรอ ราคา 1,600 บาท /ชุด
แหล่งจำหน่าย ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทอผ้าไหมบ้านเป๊าะ หมู่ที่ 2 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ นางเครือญาติ รัตนสูรย์ 07-8736763
3. กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรร่วมใจพัฒนา หมู่ที่ 12 ตำบลเป๊าะ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- ผ้าห่มไหมพรม ราคา 120 บาท/ผืน
แหล่งจำหน่าย กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรร่วมใจพัฒนา หมู่ที่ 12 ตำบลเป๊าะ
อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยนางถาวร สิทธิโท 09-7218041
4 . กลุ่มไข่เค็มใบเตย บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 1 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- ไข่เค็มใบเตย ผลิตได้ 20,000 ฟอง/เดือน จำหน่ายฟองละ 5 บาท
แหล่งจำหน่าย บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 1 ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยนายวิรุฬห์ ทองทรัพย์ทวี 045 – 689013 หรือ 09 -4267296

โรงเรียนประจำอำเภอ

โรงเรียนบึงบูรพ์


โรงเรียนบึงบูรพ์ ตั้งอยู่ที่อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษโดยมีนายสมชัย เย็นสมุทร์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มีราชการครูทั้งหมด 30 คน พนักงานราชการจำนวน 4 คน ครูอัตราจ้างจำนวน 3 คนสมชัย เย็นสมุทร (ชัย)ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้อำนวยการโรงเรียน นายสมชัย เย็นสมุทร (ชัย)
Tel.045611854
E-Mailmailto:E-Mailvt9vm@hotmail.com
Location152 หมู่ 2 ต.หนองครก อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

วิสัยทัศน์...
โรงเรียนบึงบูรพ์มุ่งมั่นปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน เน้นบรรยากาศแห่งการเรียนรู้มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ สืบสาน ประเพณี กีฬา มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแกนนำสังคม ชื่นชมภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลทันโลก

ตราของโรงเรียน
สีประจำโรงเรียน....
สีม่วง - ขาว

พันธกิจ
1. พัฒนาการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เกิดสัมฤทธิ์ผลอย่างมีประสิทธิภาพ
2. พัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานการศึกษา โดยนำสื่อเทคโนโลยีเข้ามาจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ ดนตรี กีฬา และการประกกอบสัมมาชีพ นำความรู้ความสามารถมาใช้ในชีวิตประจำวันและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
4. ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา

แผนที่อำเภอ


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ตำบลบึงบูรพ์

ประวัติความเป็นมา
ตำบลบึงบูรพ์ ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของ ชอำเภอบึงบูรพ์ประกอบไปด้วย 10 หมู่บ้าน 11 ชุมชนได้แก่
หมู่ที่ 1ชุมชน บ้านเป๊าะและชุมชนรุ่งเรืองสะพังทอง
หมู่ที่ 2 ชุมชนคุ้งกลาวสามัคคีและชุมชนสวนสนุก
หมู่ที่ 3 ชุมชนตลาดเก่า
หมู่ที่ 4 บ้านโนนสาวสวยและชุมชนดอนคำแก้ว
หมู่ชุมชนมิตรภาพ
หมู่ที่ 9 ชุมชนบึงบูรพา
อาณาเขตตำบล

ทิศเหนือ จรด จ.สุรินทร์ทิศใต้ จรด ต.เป๊าะ อ.บึงบูรพ์ จ.ศรีสะเกษทิศตะวันออก จรด ต.บัวหุ่ง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษทิศตะวันตก จรด ต.เป๊าะ อ.บึงบูรพ์ จ.ศรีสะเกษ
จำนวนประชากรของตำบล

จำนวนทั้งสิ้น 5,990 คน จำนวน 12,298 ครัวเรือน ชาย 2,960 คน หญิง 3,030 คน
เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ :
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ตำบลเป๊าะ

ตำบลเป๊าะ
ประวัติ
องค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 12 บ้านหนองคูใต้ ตำบลเป๊าะ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับการยกฐานะจากสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2542
ข้อมูลทั่วไป
ตำบลเป๊าะเป็นตำบลหนึ่งในสองตำบลของอำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอบึงบูรพ์ อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอบึงบูรพ์ประมาณ 6 กิโลเมตร
มีอาณาเขตติดต่อกับตำบลใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือติดต่อกับตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์
ทิศใต้ติดต่อกับตำบลหนองม้า กิ่งอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ
ทิศตะวันออกติดต่อกับตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย
ทิศตะวันตกติดต่อกับตำบลยางสว่าง อำเภอรัตนบุรี
เนื้อที่ตำบลเป๊าะมีเนื้อที่ประมาณ 30.078 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศลักษณะภูมิประเทศขององค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ มีลักษณะเป็นที่ราบสลับกับที่เนิน มีลำห้วยทับทันไหลผ่าน บริเวณทางทิศตะวันตกของตำบล มีป่าโนนลานเป็นป่าสงวน
จำนวนหมู่บ้านจำนวนหมู่บ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ มีทั้งหมด 16 หมู่บ้าน อยู่ในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ จำนวน 12 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1บ้านโนนลานจำนวนครัวเรือน55ครัวเรือน
หมู่ที่ 3บ้านหมากยางจำนวนครัวเรือน85ครัวเรือน
หมู่ที่ 4บ้านม่วงจำนวนครัวเรือน76ครัวเรือน
หมู่ที่ 5บ้านโนนแดงจำนวนครัวเรือน70ครัวเรือน
หมู่ที่ 7บ้านหนองคูใหญ่จำนวนครัวเรือน113ครัวเรือน
หมู่ที่ 8บ้านหนองคูน้อยจำนวนครัวเรือน80ครัวเรือน
หมู่ที่ 9บ้านเหนือโนนลานจำนวนครัวเรือน97ครัวเรือน
หมู่ที่ 10บ้านม่วงงาม
จำนวนครัวเรือน89ครัวเรือน
หมู่ที่ 12บ้านหนองคูใต้จำนวนครัวเรือน104ครัวเรือน
หมู่ที่ 13บ้านโนนลานกลางจำนวนครัวเรือน70ครัวเรือน
หมู่ที่ 15บ้านหนองคูใหม่จำนวนครัวเรือน59ครัวเรือน
หมู่ที่ 16บ้านหมากยางจำนวนครัวเรือน50ครัวเรือน
ประชากรตำบลเป๊าะ
มีประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ ทั้งส้น 4,473 คน แยกเป็นชาย 2,237 แยกเป็นหญิง 2,236 คน
วัดวัดในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเป๊าะ มีจำนวน 9 แห่ง ได้แก่
1. วัดโนนสิม บ้านโนนลาน หมู่ 13
2. วัดป่าเนรัญชราวนาราม หมู่ 12
3. วัดบ้านหนองคู หมู่ 7
4. วัดบ้านม่วง หมู่ 4
5. วัดป่าทองคำ หมู่ 5
6. วัดหมากยาง หมู่ 16
7. วัดป่าสันตินิมิตร หมู่ 3
8. วัดหนองคูน้อย หมู่ 8
9. วัดบ้านโนนลาน หมู่ 9
โรงเรียนโรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 4 แห่ง ได้แก่
1. โรงเรียนชุมชนบ้านหนองคู (ขยายโอกาส)2. โรงเรียนบ้านม่วง (ขยายโอกาส)3. โรงเรียนบ้านหมากยาง4. โรงเรียนบ้านโนนลาน
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในเขต อบต.เป๊าะ มีจำนวน 4 แห่ง ได้แก่
1. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.เป๊าะ 2. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดบ้านม่วง3. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดบ้านหมากยาง4. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดบ้านโนนลาน
สถานีอนามัยสถานีอนามัยในเขต อบต.เป๊าะ มีจำนวน 2 แห่ง ได้แก่
1. สถานีอนามัยบ้านหนองคู2. สถานีอนามัยบ้านม่วง

ผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม
ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม เป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมพื้นบ้าน ที่ทอด้วยมือจากเส้นไหมแท้ โดยใช้สีธรรมชาติย้อม สีสันสวยงาม เนื้อผ้าดี มีให้เลือกมากมายฟอกไหมเพื่อให้เส้นไหมอยู่ตัวทำให้การย้อมสีมีคุณภาพ การย้อมสีเส้นไหมตามแบบที่ต้องการ การมัดหมี่ เพื่อให้เกิดลวดลาย กรณีต้องการลวดลาย การปั่นไหม เพื่อนำเส้นไหมพันแกนไม้ นำเข้ากระสวย สำหรับนำไปทอเส้นไหมนอน การค้นไหม ทำให้เส้นไหมมาเรียงกันเป็นเส้นยืนที่ใช้สำหรับทอ การเก็บเขาฟืม เป็นการนำเอาเส้นไหมยืนมายึดเข้ากับฟืม การทอผ้าตามลวดลายที่ต้องการรางวัลที่ได้รับ : รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทุกปี
เสื้อสำเร็จรูป


ปลาส้ม
ปลาส้มฟักปลาส้ม, ปลาส้มฟัก ไม่ใส่ดินประสิว, สีผสมอาหาร และไม่ใช้สารกันเสีย ปลาส้ม - ปลาตะเพียน 20 ก.ก. ข้าวเหนียว 400 กรัม กระเทียม 500 กรัม เกลือ 1.3 ก.ก., ปลาส้มฟัก - เนื้อปลาตะเพียนสับ 20 ก.ก. เกลือ 700 กรัม กระเทียม 500 กรัม ข้าวเหนียว 300 กรัม รางวัลที่เคยได้รับ : รางวัลการดำเนินงานชุมชนดีเด่นโครงการเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร (มิยาซาวา) ปี พ.ศ.2542



ไข่เค็มใบเตยไข่เค็มใบเตย





แหล่งท่องเทียวอำเภอบึงบูรพ์

กู่สมบูรณ์

อยู่บริเวณบ้านหนองคูใหญ่ ตำบลเป๊าะ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นปราสาทสามหลังบนฐานศิลาแลงเดียวกัน ปราสาทก่อนด้วยศิลาแลงร่วมกับอิฐ ก่อด้วยศิลาแลง ด้านใน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตัวปราสาททั้งหมดล้อมรอบด้วยคูน้ำรูปเกือกม้าเว้นทางเข้า ด้านทิศใต้ สันนิษฐานว่าปราสาทแห่งนี้คงจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรณที่ 17 ปัจจุบันกรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนและบูรณะซ่อมแซม
วัดศรีบึงบูรพ์


วัดศรีบึงบูรพ์ตั้งอยู่ที่บ้านโนนสาวสวย หมู่ที่ ๔ ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ การเดินทางเริ่มจากตัวจังหวัดด้วยเส้นทางศรีสะเกษบึงบูรพ์ ระยะทางจากจังหวัดประมาณ ๒๐ กิโลเมตรและเดินทางจากอำเภอถึงวัดศรีบึงบูรพ์ ระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร สภาพเส้นทางเป็นถนนลาดยางตลอดสายวัดศรีบึงบูรพ์ ตั้งอยู่ริมลำน้ำห้วยทับทัน เป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศสวยงามตามธรรมชาติ เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนาของพระสงฆ์ที่มีประชาชนศรัทธา เลื่อมใส นั่นคือ พระอาจารย์ศรี จันทร์สาโร ซึ่งมีดำริที่จะสร้างพุทธสถาน และเทวสถานในวัดศรีบึงบูรพ์ ให้เป็นพุทธสถานมรดกอีสานใต้ นอกจากนี้

วัดศรีบึงบูรพ์ ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราชจำลององค์ที่ ๒ ของประเทศไทยบรรยากาศภายในวัด สวยงามเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่ออุปราชเทวดาตามความเชื่อของชาวบึงบูรพ์ มีศาลาเรือนแก้ว พระอุโบสถที่งดงามตระการตา ระหว่างพระอุโบสถกับศาลาเรือนแก้วที่สวยงาม มีเฮือส่วง (เรือแข่ง) ที่พระอาจารย์ศรี จันทสาโร ได้มาจากอำเภอบ้านโป่ง เพื่อเป็นปรัชญาสอนให้คนบึงบูรพ์รักและสามัคคีกัน

โรงเรียนในอำเภอมี 8 โรงเรียน

โรงเรียนมัธยม 1โ รงเรียน
โรงเรียนบึงบูรพ์
โรงประถมและขยายโอกาศรวม 7โ รงเรียน
1.โรงเรียนชุมชนบ้านหนองคู(ขยายโอกาศ)
2.โรงเรียนบ้านม่วง(ขยายโอกาศ)
3.โรงเรียนบ้านหาด
4.โรงเรียนบ้านค้อ
5.โรงเรียนบ้านโนนลาน
6.โรงเรียนอนุบาลบึงบูรพ์
7.โรงเรียนบ้านหมากยาง